ถาม – ตอบ
งานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น
1. การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางไฟฟ้าสามารถทำได้โดยวิธีใด
ตอบ การช่วยชีวิตผู้ถูกไฟฟ้าดูดที่หยุดหายใจ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น วิธีการผายปอดด้วยวิธีปากต่อปาก หรือวิธีนวดหัวใจ ซึ่งมี 2 วิธี เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพมากและได้ผลดีที่สุด ในการที่ช่วยให้ผู้ป่วยที่หยุดหายใจสามารถกลับมาหายใจด้วยตนเองได้ใหม่ ซึ่งวิธีการปฏิบัติทำได้โดยไม่ยุ่งยากและทำได้รวดเร็ว
2. ข้อควรปฏิบัติในการทำงานเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ มีอะไรบ้าง
ตอบ 1. ไม่ควรทำการตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ใดๆขณะที่ยังมีแหล่งจ่ายไฟฟ้าต่ออยู่
2.เมื่อทำการตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ใดๆขณะที่ยังเปิดใช้งานอยู่ ผู้ทำการตรวจซ่อมจะต้องป้องกันตนเองโดยไม่ยืนพื้นที่แฉะหรือพิงกับวัตถุที่เป็นโลหะใดๆและอาจป้องกันได้โดยการสวมรองเท้ายางหรือยืนบนเสื่อที่ทำจากพลาสติกหรือพรมเช็ดเท้า
3.ต้องปิดสวิตซ์อุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์และถอดปลั๊กออกทุกครั้งก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงชิ้นส่วนใดๆ
4. ไม่ควรใส่กำไล แหวน หรือ นาฬิกา ขณะทำการตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ใดๆทั้งสิ้นเนื่องจากสิ่งของเหล่านี้มีค่าความต้านทานต่ำและเป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้าได้ดี
5. ก่อนทำการตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ใดๆจะต้องตรวจสภาพทั่วไปว่าอุปกรณ์เหล่านั้นมีการสึก มีรอยร้าว มีการไหม้ของสายหรือมีการแตกของปลั๊กหรือไม่
6. ขณะทำการตรวจซ่อมต้องแน่ใจว่ามีบุคคลอื่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วย ทั้งนี้เพื่อคอยช่วยเหลือได้ทันทีในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
7. ต้องตรวจสอบดูว่าสวิตซ์ปิดเปิดของอุปกรณ์อยู่ที่ตำแหน่งใดก่อนทพการตรวจซ่อมเสมอ
3. เอซีโวลต์มิเตอร์ คืออะไร
ตอบ มิเตอร์วัดแรงดันไฟสลับ หลักการใช้มิเตอร์ชนิดนี้จะเหมือนกับดีซีโวลต์มิเตอร์ คือในการใช้งานจะต้องนำไปวัดคร่อมขานกับโหลดที่ต้องการวัดแรงดันนั้น จะมีส่วนที่แตกต่างจากดีซีโวลต์มิเตอร์ คือในการใช้มิเตอร์วัดคร่อมแรงดันหรือแหล่งจ่ายไฟไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงขั้วมิเตอร์ เพราะแรงดันไฟสลับจะมีขั้วสลับไปสลับมาตลอดเวลา
4. ขั้นตอนการใช้เอซีโวลต์มิเตอร์ คือ
ตอบ 1. ต่อเอซีโวลต์ในขณะวัดค่าแรงดันคร่อมขนานกับโหลด
2. ตั้งย่านใช้งานของมิเตอร์ในย่าน ACV
3. ปรับสวิตซ์ตั้งย่านการวัดให้ถูกต้อง หากไม่ทราบค่าที่จะวัดว่าเท่าไร ให้ตั้งย่านวัดที่ตำแหน่งสูงสุด (1,000 V) ไว้ก่อน แล้วจึงปรับลดย่านให้ต่ำลงทีละย่านจนกว่าเข็มมิเตอร์จะชี้ค่าที่อ่านได้ง่ายและถูกต้อง
4. ก่อนต่อมิเตอร์วัดแรงดันไฟสูงๆควรจะปิดสวิตซ์ไฟของวงจรที่จะวัดเสียก่อน
5. อย่าจับสายวัดหรือมิเตอร์ขณะวัดแรงดันไฟสูง เมื่อวัดเสร็จเรียบร้อยควรปิดสวิตซ์ไฟของวงจรที่ทำการวัดเสียก่อนจึงปลดสายวัดของมิเตอร์ออกจากวงจร
5. ดีซีโวลต์มิเตอร์ คืออะไร
ตอบ มิเตอร์วัดแรงดันไฟฟ้าตรง ในการใช้ดีซีโวลต์วัดแรงดันไฟตรงจะต้องต่อดีซีโวลต์มิเตอร์วัดคร่อมขนานกับโหลดที่ต้องการวัดแรงดัน ขั้วของดีซีโวลต์มิเตอร์ที่จะต่อวัดคร่อมโหลดต้องมีขั้วเหมือนแรงดันที่ตกคร่อมโหลด
6. ขั้นตอนการใช้ดีซีโวลต์มิเตอร์ คือ
ตอบ 1. ต่อดีซีโวลต์ในขณะวัดค่าแรงดันคร่อมขนานกับโหลด
2. ตั้งย่านใช้งานของมิเตอร์ในย่าน DCV
3. ปรับสวิตซ์ตั้งย่านการวัดให้ถูกต้อง ถ้าหากไม่ทราบแรงดันไฟที่จะทำการวัดให้ตั้งย่านวัดที่ตำแหน่งสูงสุด ไว้ก่อน แล้วปรับลดย่านให้ต่ำลงทีละย่านจนกว่าเข็มมิเอตร์จะชี้ค่าที่อ่านได้ง่ายและถูกต้อง
4. ในตำแหน่งที่วัดด้วยดีซีโวลต์มิเตอร์ไม่ขึ้นแต่ขณะแตะสายวัดขั้วบวกเข้าไปหรือขณะดึงสายวัดขั้วบวกออกมา เข็มมิเตอร์จะกระดิกเล็กน้อยเสมอ แสดงว่าจุดนั้นเป็นแรงดันไฟสลับ
5. การวัดแรงดันไฟตรงในวงจรจะต้องต่อสายวัดให้ถูกต้องโดยนำสายวัดขั้วลบ สีดำจับที่ขั้วลบของแหล่งจ่ายนำสายวัดขั้วบวก (+) สีแดงของมิเตอร์ไปวัดแรงดันตามจุดต่างๆ
7. ดีซีแอมมิเตอร์หรือดีซีมัลลิแอมมิเตอร์คืออะไร
ตอบ มิเตอร์วัดกระแสไฟตรง เพื่อจะทราบจำนวนกระแสที่ไหลผ่านวงจรมีค่าเท่าไร การใช้ดีซีแอมมิเตอร์วัดกระแสไฟตรงในวงจรจะต้องตัดไฟแหล่งจ่ายออกจากวงจรและนำดีซีแอมมิเตอร์ต่ออันดับกับวงจรและแหล่งจ่ายไฟ ขั้วของดีซีแอมมิเตอร์จะต้องต่อให้ถูกต้องมิเช่นนั้นเข็มมิเตอร์จะตีกลับอาจทำให้มิเตอร์เสียได้
8. ขั้นตอนการใช้ดีซีมัลลิแอมมิเตอร์ คือ
ตอบ 1. การต่อดีซีมัลลิแอมมิเตอร์วัดกระแสในวงจรจะต้องต่ออันดับกับโหลดในวงจร
2. ตั้งย่านใช้งานของมิเตอร์ในย่าน DCmA
3. ปรับสวิตซ์ตั้งย่านการวัดให้ถูกต้อง ถ้าหากไม่ทราบกระแสที่จะทำการวัดให้ตั้งย่านวัดที่ตำแหน่งสูงสุด (
4. ก่อนต่อมิเตอร์วัดกระแสไฟสูงๆควรจะปิดสวิตซ์ไฟของวงจรที่จะวัดเสียก่อน
5. เมื่อวัดเสร็จเรียบร้อยควรปิดสวิตซ์ไฟของวงจรที่ทำการวัดเสียก่อนจึงปลดสายวัดของมิเตอร์ออกจากวงจร
9. โอห์มมิเตอร์คืออะไร
ตอบ มิเตอร์ที่สร้างขึ้นมาไว้วัดค่าความต้านทานของตัวต้านทาน (R) โดยอ่านค่าออกมาเป็นค่าโอห์ม โดยมีย่านการวัดทั้งหมด 5 ย่าน คือ ×1, ×10, ×100, ×1k, ×10k อ่านค่าความต้านทานได้ตั้งแต่ 2 กิโลโอห์ม ถึง 20 เมกกะโอห์ม
10. ขั้นตอนการใช้โอห์มมิเตอร์ คือ
ตอบ 1. ตั้งย่านใช้งานของมิเตอร์ที่ย่านโอห์ม
2. ใช้สายวัดสีแดงเสียบเสียบเข้าที่ขั้วต่อขั้วบวก และสายวัดสีดำเสียบเข้าที่ขั้วต่อขั้วลบ
3. ปรับซีเล็กเตอร์สวิตซ์ตั้งย่านวัดให้ถูกต้อง
4. ก่อนนำโอห์มมิเตอร์ไปใช้วัดทุกครั้งและทุกย่านจะต้องทำการปรับ 0 โอห์มเสมอ
5. ถ้าจะนำโอห์มมิเตอร์ไปวัดค่าความต้านทานในวงจรต้องแน่ใจว่าปิดสวิตซ์ไฟทุกครั้ง
#รวมข้อสอบที่ออกบ่อยๆ รวบรวมโดยอาจารย์ของสถาบัน
#เจาะลึกครอบคุมตรงประเด็น เนื้อหาสาระสำคัญ ข่าวสารทันโลก
#จำหน่ายแนวข้อสอบมานานกว่า 10 ปี การรันตีจากผู้สอบติดมากมาย
#รวมหนังสือหรือไฟล์ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาไปนั่งติว
แนวข้อสอบมี 2 รูปแบบ
1.แบบที่ 1 รอรับได้เลย ราคาเพียง 399 บาท (รอรับ 1-2 ชม หลังโอน)
2.แบบที่ 2 หนังสือ **ฟรี MP3** ราคา 699 บาท (ส่งฟรีขนส่งเอกชน)
ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อแนวข้อสอบ
Line ID : Panisara_test หรือคลิ๊กสั่งซื้อทันที
ชำระค่าสินค้าและบริการ
-ธ.กรุงไทย เลขที่บัญชี 983-0-97701-3
-ธ.กสิกรไทย เลขที่บัญชี 549-2-17930-4
(ชื่อบัญชี ปาณิสรา พระกาย ออมทรัพย์ สาขามหาวิทยาลัยขอนแก่น)
แนวข้อสอบ ระบบการสื่อสารข้อมูล
จงกากบาท (X) เลือกข้อที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
1. Data Communications หมายถึงข้อใด
ก. การขนส่งข้อมูล
ข. การสื่อสารข้อมูล
ค. การแปลงข้อมูล
ง. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ข. การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับโดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
2. “เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมักจะลดทอนหรือรบกวนระบบ อุปสรรค์ที่เกิดขึ้นระหว่างการรับส่งข้อมูล” คือข้อใด
ก. Noise
ข. Voice
ค. Sink
ง. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ก. Noise
สัญญาณรบกวน (Noise) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมักจะลดทอนหรือรบกวนระบบ อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งทางด้านผู้ส่งข่าวสาร ผู้รับข่าวสาร และช่องสัญญาณ แต่ในการศึกษาขั้นพื้นฐานมักจะสมมุติให้ทางด้านผู้ส่งข่าวสารและผู้รับข่าวสารไม่มีความผิดพลาดตำแหน่งที่ใช้วิเคราะห์ มักจะเป็นที่ตัวกลางหรือช่องสัญญาณ เมื่อไรที่รวมสัญญาณรบกวนด้านผู้ส่งข่าวสารและด้านผู้รับข่าวสารในทางปฏิบัติมักจะใช้วงจรกรอง (Filter) กรองสัญญาณแต่ต้นทางเพื่อให้การสื่อสารมีคุณภาพดียิ่งขึ้นแล้วค่อยดำเนินการ เช่น การเข้ารหัสแหล่งข้อมูล เป็นต้น
3. ปัจจัยใดที่ทำให้สัญญาณไมโครเวฟมีสัญญาณอ่อนลงหรือหักเห
ก. ในที่มีอากาศร้อนจัด
ข. ในเขตชุมชนที่มีสิ่งปลูกสร้างหนาแน่น
ค. ในสถานที่ที่มีพายุหรือฝน
ง. ถูกทั้ง ข้อ ก. ข. และ ค.
ตอบ ง. ถูกทั้ง ข้อ ก. ข. และ ค.
เพื่อป้องกันการแทรกหรือรบกวนจากสัญญาณอื่นๆ แต่สัญญาณอาจจะอ่อนลงหรือหักเหได้ในที่มีอากาศร้อนจัด พายุหรือฝน ดังนั้นการติดตั้งจานส่ง-รับสัญญาณจึงต้องให้หันหน้าของจานตรงกัน และหอยิ่งสูงยิ่งส่งสัญญาณได้ไกล
4. ข่ายการสื่อสารข้อมูลเป็นการรับส่งข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยอาศัยระบบการส่งข้อมูลทางใด
ก. คลื่นไฟฟ้า
ข. แสง
ค. น้ำ
ง. ถูกทั้ง ข้อ ก. และ ข.
ตอบ ง. ถูกทั้ง ข้อ ก. และ ข.
ข่ายการสื่อสารข้อมูล หมายถึง การรับส่งข้อมูลหรือสารสนเทศจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยอาศัยระบบการส่งข้อมูลทางคลื่นไฟฟ้าหรือแสง อุปกรณ์ที่ประกอบเป็นระบบการสื่อสารข้อมูลโดยทั่วไปเรียกว่า ข่ายการสื่อสารข้อมูล (Data Communications Network)
5. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบพื้นฐานของข่ายการสื่อสารข้อมูล
ก. Transmisstion Channel
ข. Translate Channel
ค. Receiving Unit
ง. Sending Unit
ตอบ ข. Translate Channel
องค์ประกอบการพื้นฐานของข่ายการสื่อสารข้อมูล (Data Communications Network)
1. หน่วยรับข้อมูล (Receiving Unit)
2. หน่วยส่งข้อมูล (Sending Unit)
3. ช่องทางการส่งข้อมูล (Transmisstion Channel)
6. การสื่อสารข้อมูล (Data Transmission) มีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง
ก. 2 รูปแบบ คือ การสื่อสารแบบอนุกรม และการสื่อสารแบบขนาน
ข. 2 รูปแบบ คือ การสื่อสารแบบไปกลับ และการสื่อสารแบบแจ้งรับ
ค. 3 รูปแบบ คือ การสื่อสารแบบอนุกรม การสื่อสารแบบขนาน และการสื่อสารแบบทางเดียว
ง. 3 รูปแบบ คือ การสื่อสารแบบไปกลับ การสื่อสารแบบทางเดียว และการสื่อสารแบบขนาน
ตอบ ก. 2 รูปแบบ คือ การสื่อสารแบบอนุกรม และการสื่อสารแบบขนาน
วิธีการสื่อสารข้อมูล (Data Transmisstion)
ลักษณะของการสื่อสารข้อมูลมี 2 รูปแบบคือ การสื่อสารแบบอนุกรม (Serial Data Transmission) และการสื่อสารแบบขนาน (Parallel Data Transmission)
7. สถานีไมโครเวฟลอยฟ้า เป็นคำเปรียบเสมือนจากข้อใด
ก. ดาวเทียม
ข. พระอาทิตย์
ค. จานดาวเทียม
ง. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ก. ดาวเทียม
การสื่อสารด้วยดาวเทียม (Satellite Transmission)
ดาวเทียม คือ สถานีไมโครเวฟลอยฟ้านั่นเอง ซึ่งทำหน้าที่ขยายและทบทวนสัญญาข้อมูลรับและส่งสัญญาณข้อมูลกับสถานีดาวเทียมที่อยู่บนพื้นโลก สถานีดาวเทียมภาคพื้นจะทำการส่งสัญญาณข้อมูลไปยังดาวเทียมซึ่งจะหมุนไปตามการหมุนของโลก ซึ่งมีตำแหน่งคงที่เมื่อเทียบกับตำแหน่งบนพื้นโลก
8. เนื่องจากสายเกลียวคู่จะมีการสูญเสียสัญญาณขณะส่งสัญญาณ จึงจะเป็นจะต้องมีสิ่งใดต่อไปนี้
ก. Amplifier
ข. Repeater
ค. Echo
ง. Coaxial
ตอบ ก. Amplifier
สายเกลียวคู่สามารถใช้ได้ทั้งการส่งสัญญาณข้อมูลแบบอนาล็อกและแบบดิจิตอล เนื่องจากสายเกลียวคู่จะมีการสูญเสียสัญญาณขณะส่งสัญญาณ จึงจำเป็นต้องมี “เครื่องขยาย (Amplifier)” สัญญาณสำหรับการส่งสัญญาณข้อมูลแลลอนาล็อกในระยะทางไกลๆ หรือทุก 5-6 กม. ส่วนการส่งสัญญาณข้อมูลแบบดิจิตอลต้องมี “เครื่องทบทวน (Repeater)” สัญญาณทุกๆ ระยะ 2-3 กม. เพราะว่าแต่ละคู่ของสายเกลียวคู่จะแทนการทำงาน 1 ช่องทาง และสามารถมีแบนด์วิดท์ได้กว้างถึง 250 กิโลเฮิรตซ์
9. การส่งสัญญาณข้อมูลแบบดิจิตอลของสายเกลียวคู่จำเป็นต้องมีสัญญาณในข้อใด
ก. Amplifier
ข. Repeater
ค. Echo
ง. Coaxial
ตอบ ข. Repeater
ดูคำอธิบายข้อข้างต้น
10. โฟโต้ไดโอด (Photo Diode) มีหน้าที่ใด
ก. ทำหน้าที่รับลำแสงที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนสัญญาณแสงให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม
ข. ทำหน้าที่รับรหัสที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนรหัสให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม
ค. ทำหน้าที่รับคลื่นเสียงที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนคลื่นเสียงให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม
ง. ทำหน้าที่รับคลื่นไมโครเวฟที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนคลื่นไมโครเวฟให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม
ตอบ ก. ทำหน้าที่รับลำแสงที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนสัญญาณแสงให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม
โฟโต้ไดโอด (Photo Diode) ที่ทำหน้าที่รับลำแสงที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนสัญญาณแสงให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม จากนั้นก็จะส่งสัญญาณผ่านเข้าอุปกรณ์ดีมอดูเลต เพื่อทำการดีมอดูเลตสัญญาณมอดูเลตให้เหลือแต่สัญญาณข้อมูลที่ต้องการ